วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ประวัติความเป็นมาของมวยไทย


ประวัติความเป็นมาของมวยไทย

มนุษย์รู้จักคำว่า ต่อสู้ตั้งแต่มนุษย์เริ่มเกิดลืมตามาดูโลก ต้องต่อสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ๆ ตัวเอง และแม้แต่กับตัวเองก็มิได้ละเว้นจะต้องสู้ กับธรรมชาติและภัยของธรรมชาติ สัตว์ป่าที่มุ่งร้ายหมายชีวิต หรือที่มนุษย์มุ่งจะเอาชีวิตเพื่อนำมาเป็นอาหารสำหรับยังชีวิต แต่ในบางครั้งมนุษย์ก็ต่อสู้กันเอง เพื่อสิทธิในการครอบครองเป็นเจ้าของ เพื่อเสรีภาพ เพื่อป้องกันตนเอง หรืออื่น ๆ การต่อสู้ดังกล่าวอาจจะต้องใช้กำลังกายกำลังใจ และกำลังความคิดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

มนุษย์จะต่อสู้เพื่อวัตถุประสงค์ใดก็แล้วแต่จุดมุ่งหมายสูงสุดของการต่อสู้ ความอยู่รอดของชีวิตจากการต่อสู้ มนุษย์ก็ได้พยายามคิดค้นวิธีการต่อสู้ เพื่อป้องกันให้ถึงแก่ชีวิตได้ภายในระยะเวลาอันสั้น หรือเมื่อทั้งสองฝ่ายมีอาวุธคู่มือการทำร้ายกันก็ทำได้ลำบากต่างก็ต้องเกรงซึ่งกันและกัน มนุษย์ก็พยายามใช้ความคิดที่จะหาหนทางเอาชนะ เอาชีวิตของคู่ต่อสู้ให้ง่ายและรวดเร็ว ป้องกันชีวิตตนเองให้ปลอดภัยมากขึ้นพยายามคิดค้นศึกษา ทดลอง ดัดแปลงแก้ไขเพื่อหาแนวทางที่จะต่อสู้และป้องกันตัวทั้งที่มีอาวุธและไม่มีอาวุธ ทำให้เกิดศิลปะการต่อสู้และป้องกันตัวขึ้นมา

มนุษย์ได้พยายามคิดค้นการต่อสู้มือเปล่าเพื่อให้ตนเองปลอดภัยจากสิ่งรอบข้าง โดยใช้อวัยวะของร่างกายเป็นอาวุธเข้าต่อสู้ เช่น มือและเท้า กำหนดระเบียบแบบแผนมีหลักเกณฑ์ในการต่อสู้สิ่งต่าง ๆ รวมกันเรียกว่า มวย

บรรพบุรุษมีความเฉลียวฉลาดในการคิดค้น ดัดแปลงและพลิกแพลงในการใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย เช่น มือ, เท้า, เข่า, ศอก และศีรษะเข้าต่อสู้ป้องกัน ปิดป้องส่วนที่อ่อนแอของร่างกายได้เป็นอย่างดี วิธีการต่อสู้และป้องกันตนเองของไทย ซึ่งจะหาการต่อสู้ของชาติอื่นมาเทียบไม่ได้ การต่อสู้มือเปล่าของไทยเป็นศิลปะแห่งการต่อสู้ประจำชาติ เรียกว่า มวยไทย

มวยไทยเป็นศิลปะของการต่อสู้ป้องกันตัวได้จริงสามารถนำไปใช้ได้ทั้งในการต่อสู้และในการกีฬา ศิลปะประเภทนี้บรรพบุรุษ ของชาติไทยใช้อบรมสั่งสอนสืบทอดกันมาให้ดำรงอยู่ตลอดไป บรรดาชายฉกรรจ์จะได้รับการสั่งสอนฝึกฝนศิลปะประเภทนี้อย่างชัดเจนทั้งสิ้น การใช้อาวุธรบสมัยโบราณ เช่น กระบี่ กระบอง ดาบ ง้าว ทวน ฯลฯ นักรบไทยจะนำไปประกอบการต่อสู้ที่มีชั้นเชิงสูง เดิมมักจะฝึกสอน กันเฉพาะบรรดาเจ้านายชั้นสูงนับตั้งแต่พระมหากษัตริย์และขุนนางฝ่ายทหารเท่านั้น ต่อมาจึงแพร่หลายไปถึงสามัญชน ได้รับการถ่ายทอดวิทยาการ จากครูอาจารย์ ซึ่งเดิมเป็นยอดทหารขุนพล ยอดนักรบของชาติมาแล้วได้ละเพศฆราวาสเข้าสู่เพศบรรพชิต พยายามถ่ายทอดวิทยาการให้แก่ศิษยานุศิษย์ และสืบเนื่องมาจากไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ครูอาจารย์ที่สอนอยู่ในเพศบรรพชิตจึงทำให้มวยไทยกับศาสนาพุทธมีความสัมพันธ์กันจนแยกไม่ออก ซึ่งจะสังเกตได้จากก่อนการชก นักมวยจะมีการไหว้ครู ร่ายมนต์คาถาตามร่างกายก็มีเครื่องรางของขลัง เช่น ผ้าประเจียดรัดแขน หรือ มงคลสวมศีรษะ เป็นต้น

มวยไทยเริ่มขึ้นในสมัยใดไม่ปรากฏ และไม่มีหนังสือเล่มใดเขียนไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัยใด แต่เท่าที่ได้ปรากฏนั้น มวยไทยได้เกิดขึ้นมานานแล้ว และอาจเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับชาติไทยด้วยซ้ำ เพราะมวยไทยนั้นเป็นศิลปะประจำชาติของไทยจริงๆ ยากที่ชาติอื่นจะเลียนแบบได้

มวยไทยในสมัยก่อนจะมีการฝึกฝนอยู่ในบรรดาหมู่ทหาร เพราะในสมัยก่อนไทยได้มีการรบพุ่งและสู้รบกันกับประเทศเพื่อนบ้านบ่อย ๆ การสู้รบในสมัยนั้นยังไม่มีปืนจะสู้กันมีแต่ดาบทั้งสองมือและมือเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้การรบพุ่งก็ต้องมีการประชิดตัว คนไทยเห็นว่าการรบด้วยดาบนั้น เป็นการรบพุ่งที่ประชิดตัวมากเกินไป บางครั้งคู่ต่อสู้อาจจะเข้ามาฟันเราได้ง่ายขึ้น ทำให้แพ้คู่ต่อสู้ได้

ต่อมาเมื่อในหมู่ทหารได้รับการฝึกถีบ เตะแล้ว มีผู้คิดว่าทำอย่างไรเราจึงจะใช้การถีบ และเตะนั้นมาเป็นศิลปะสำหรับการต่อสู้ด้วยมือได้ จึงได้มีผู้ที่คิดจะฝึกหัดการต่อสู้ป้องกันตัวสำหรับการใช้แสดงเวลามีงานเทศกาลต่าง ๆ ไว้อวดชาวบ้าน และเป็นของแปลกสำหรับชาวบ้าน เมื่อเป็นเช่นนี้นาน เข้าชาวบ้านหรือคนไทยได้เห็นการถีบ-เตะอย่างแพร่หลายและบ่อยเข้า จึงทำให้ชาวบ้านมีการฝึกหัดมวยไทยกันมากจนถึงกับตั้งเป็นสำนักฝึกกันมากมาย แต่สำนักที่ฝึกมวยไทยก็ต้องเป็นสำนักดาบที่มีชื่อดีมาก่อนและมีอาจารย์ดีไว้ฝึกสอน ดังนั้นมวยไทยสมัยนั้นจึงฝึกเพื่อมีความหมาย 2 อย่างคือ
1. เพื่อไว้สำหรับสู้รบข้าศึก
2. เพื่อไว้ต่อสู้ป้องกันตัว

อาณาจักรน่านเจ้า
พ.ศ.1291 พระเจ้าพีล่อโก๊ะ ได้รวบรวมอาณาจักรไทยขึ้น เรียกว่า อาณาจักรน่านเจ้า และมีกษัตริย์ที่เข้มแข็งปกครองอยู่นาน ไทยต้องทำสงครามกับจีนอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็เป็นมิตร บางครั้งก็เป็นศัตรูกัน ในสมัยนั้นมีการฝึกใช้อาวุธบนหลังม้า รู้จักใช้หอก ใช้ง้าว ในสมัยล้านนาไทยได้มีวิชาการต่อสู้ป้องกันตัว และวิชาเจิ้ง (การต่อสู้แบบจีนชนิดหนึ่งคล้าย ๆ มวยจีน) การรบเพลงอาวุธและตำราพิชัยสงคราม จะสังเกตเห็นว่าการต่อสู้ในสมัยนี้ส่วนมากจะใช้อาวุธ เพราะเป็นการต่อสู้เพื่อเอกราช การต่อสู้ด้วยมือเปล่าก็มีอยู่บ้าง แต่ส่วนมากจะใช้ระยะประชิดตัว และนิยมการเลียนแบบจากจีน

สมัยกรุงสุโขทัย
พ.ศ. 1781 – 1921 ในสมัยสุโขทัยนี้การต่อสู้ด้วยมือเปล่าด้วยวิชามวยไทยก็มีใช้อยู่ในการต่อสู้กับข้าศึก ส่วนใหญ่ก็ยังใช้อาวุธชนิดต่าง ๆ เพื่อการกอบกู้ประเทศชาติ สถานที่ที่เป็นสำนัก

ประสิทธิ์ประสาทวิชามวยไทยแบ่งออกเป็น
1. วัด จากครูอาจารย์ที่บวชเป็นพระภิกษุและมีฝีมือในการต่อสู้
2. บ้าน จากผู้มีความรู้เป็นผู้ถ่ายทอดวิชามวยไทยให้กุลบุตร กุลธิดาที่สนใจ 3. สำนักราชบัณฑิต ให้เรียนวิชาการต่อสู้ป้องกันตัว มีการใช้อาวุธบนหลังม้า ช้าง วัว ควาย

 ในสมัยอยุธยาตอนปลาย มวยไทยก็มีการฝึกฝนกันตามสำนักฝึกต่าง ๆ และมีการฝึกกันอย่างกว้างขวาง จนถึงสมัยกรุงเทพฯ ก็มีเวทีมวยที่จัดให้มีการแข่งขันกันอย่างสนุกสนาน เช่น เวทีสวนเจ้าเชษฐ์ และเวทีสวนกุหลาบ ซึ่งการชกในสมัยนี้ก็ยังมีการคาดเชือกกันอยู่ จนในตอนหลังนวมได้เข้ามาแพร่หลายในไทยการชกกันในสมัยหลัง ๆ จึงได้สวมนวมชกกัน แต่การชกก็ยังเหมือนเดิม คือยังใช้การถีบ เตะ ชก ศอก เข่า อยู่เช่นเดิมดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้

หลักเกณฑ์ในการจัดการแข่งขัน และกรรมการผู้ชี้ขาดตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ขึ้นไปหาหลักฐานไม่ได้ แต่พอจะจับเค้าโครงเรื่องนี้ได้ในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา การแข่งขันชกมวยในสมัยต่าง ๆ ซึ่งนับว่าครึกโครมและมีผู้นิยมชมชอบมาก ซึ่งพอจะแยกกล่าวได้มีออยู่ 5 สมัยด้วยกัน คือ

1. สมัยสวนกุหลาบ ในสมัยนี้ประชาชนนิยมการชกมวย และชมการแข่งขันชกมวยกันเป็นจำนวนมาก การชกมวยกันในสมัยนี้ยังนิยมการคาดเชือกอยู่ การชกได้กำหนดจำนวนยกไว้แน่นอนแล้ว และมีกรรมการผู้ชี้ขาด ผู้ตัดสินส่วนมากนั่งอยู่ข้างเวที และให้อาณัติสัญญาณให้นักมวยหยุดชกด้วยเสียงหรือนกหวีด

2. สมัยท่าช้าง ในสมัยนี้เป็นสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อ จากคาดเชือกมาเป็นสวมนวม (พ.ศ. 2462) ได้จัดการแข่งขันขึ้นเป็นระยะเวลาพอสมควร สนามก็เลิกไป กรรมการผู้ชี้ขาดในสมัยนี้นับว่ามีชื่อเสียงก็คือนายทิม อติเหรมานนท์ และนายนิยม ทองชิตร์

3. สมัยสวนสนุก การจัดการแข่งขันในสมัยนี้ รู้สึกว่าเจ้าของสนามได้จัดการแข่งขัน และได้จัดการแข่งขันอยู่เป็นเวลาหลายปีทำให้นักมวยไทย มีชื่อเสียงขึ้นหลายคนเช่น นายสมาน ดิลกวิลาส นายสมพงษ์ เวชสิทธิ์ เป็นต้น กรรมการที่ชี้ขาดการตัดสินในขณะนั้นและนับว่ามีชื่อเสียงควรกล่าวคือ หลวงพิพัฒน์ กลกาย นายสุนทร ทวีสิทธิ์ (ครูกิมเส็ง) และนายนิยม ทองชิตร์

4. สมัยหลักเมืองและสวนเจ้าเชษฐ์ การแข่งขันชกมวยในสมัยนี้นับว่าเข้มแข็งดีมาก เพราะทางราชการทหารได้เข้าจัดการเพื่อเก็บเงินบำรุงราชการทหาร คณะกรรมการและนักมวยได้ร่วมมือกันเป็นอย่างดี จนเก็บเงินส่งบำรุงราชการทหารได้เป็นจำนวนมากสมความประสงค์ของราชการทหาร ตลอดจนทำให้นักมวยที่มีชื่อเสียงเกิดขึ้นอีกหลายคน เช่น ผล พระประแดง เพิก สิงห์พัลลภ ถวัลย์ วงศ์เทเวศน์ ประเสริฐ ส.ส. และ ทองใบ ยนตรกิจ ได้จักการแข่งขันอยู่เป็นเวลาหลายปี จึงได้เลิกการแข่งขันเมื่อใกล้ ๆ สงครามโลกครั้งที่ 2 กรรมการผู้ชี้ขาดได้ทำการตัดสินอยู่เป็นประจำตลอดนั้น มีอยู่ 3 คนด้วยกัน คือ นายสังเวียน หิรัญยเลขา, นายเจือ จักษุรักษ์, นายวงศ์ หิรัญยเลขา

5. สมัยปัจจุบัน ได้ทำการแข่งขัน ณ เวทีราชดำเนินและเวทีลุมพินีเป็นประจำทุกวันสลับกันไป ยังมีเวทีชั่วคราว เช่น เวทีกองทัพอากาศ เวทีกองทัพเรือ และตามต่างจังหวัดทุกจังหวัด การแข่งขันมีทั้งมวยไทย และมวยสากล ตลอดจนได้จัดส่งให้นักมวยต่างประเทศเข้ามาแข่งขัน และจัดส่งนักมวยไทยไปแข่งขัน ณ ต่างประเทศในปัจจุบัน

มวยไทยเป็นกีฬาที่เก่าที่สุดของเรา และเป็นที่นิยมของประชาชนทุกชั้นทุกสมัย ในชั้นต้นการแข่งขันมวยไทยไม่ได้มีกติกาเป็นลายลักษณ์อักษร นายสนามต้องชี้แจงให้นักมวยคู่แข่งขันทราบถึงหลักเกณฑ์ในการแข่งขันนั้น ๆ หลักเกณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้เมื่อใช้กันมากขึ้นก็กลายเป็น จารีตประเพณี ซึ่งใช้เป็นหลักสำหรับการแข่งขันสืบมา

พ.ศ. 2455 ม.จ.วิบูลย์ สวัสดิ์วงศ์ สวัสดิกูล ซึ่งสำเร็จการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ ได้ทรงนำวิชามวยฝรั่ง (มวยสากล) มาสอนให้แก่คณะครูที่สามัคยาจารย์สมาคม และได้ทรงร่างกติกามวยฝรั่งขึ้น ในไม่ช้ามวยฝรั่งก็ได้แพร่หลายไปตามโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาจักรโดยรวดเร็ว
พ.ศ. 2462 กระทรวงศึกษาธิการได้จัดให้มีการแข่งขันมวยฝรั่งระหว่างนักเรียนขึ้นเป็นครั้งแรก ส่วนกติกามวยฝรั่งซึ่ง ม.จ.วิบูลย์ สวัสดิ์วงศ์ สวัสดิกูล ได้ทรงร่างขึ้น มีการแก้ไขบ้างเล็กน้อย และคณะกรรมการจัดการกีฬาของกระทรวงศึกษาธิการได้จัดพิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2470

พ.ศ. 2470 กระทรวงมหาดไทยมีความประสงค์จะออกกฎกระทรวง ว่าด้วยเงื่อนไขในการอนุญาตให้เล่นการพนันมวยชก มวยปล้ำ ตามพระราชบัญญัติการพนัน

พ.ศ. 2470 และขอให้กรมพลศึกษาปรับปรุงแก้ไขกติกาเหล่านี้ให้รัดกุมยิ่งขึ้น กรมพลศึกษาเห็นชอบด้วย จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่กรมพลศึกษาร่วมมือกันพิจารณาร่างกติกามวยไทย มวยฝรั่ง และมวยปล้ำขึ้นใหม่จนสำเร็จเมื่อ 10 มี่นาคม 2477 และเริ่มใช้กติกาใหม่นี้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2480 เป็นต้นไป และได้จัดพิมพ์ครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2482

พ.ศ. 2477 กระทรวงมหาดไทยได้วางข้อบังคับคุ้มครองการแข่งขันชกมวยไทย มวยฝรั่ง เพื่อเป็นการแข่งขันชั่วคราว
กติกาการชกมวยไทย

ปัจจุบัน กีฬามวยไทยอาชีพบนเวทีมวยมาตรฐานและ กีฬามวยไทยสมัครเล่นเป็นการต่อสู้ที่มีกฏกติกาชัดเจน มีนายสนามผู้ขออนุญาตจัด มีผู้จัดชก (Promoter) มีกรรมการให้คะแนนและกรรมการตัดสินชี้ขาด (Judge/Julies/Referee) กรรมการตัดสินจะต้องมีอย่างน้อย สาม คน มีกรรมการตัดสินชี้ขาดบนเวทีและกรรมการให้คะแนน การให้คะแนนนิยมให้เป็นยก ยกละ 10 คะแนน (ดูจากการใช้ศิลปะการป้องกัน การต่อสู้ ความบอบช้ำที่ได้รับ อันตรายจากบาดแผล การได้เปรียบเสียเปรียบ การคาดการณ์ผลสุดท้ายของการต่อสู้ การตัดคะแนนจากการเอารัดเอาเปรียบคู่ชกในขณะที่ไม่เหมาะสม, การถูกทำให้เสียหลักหรือล้ม, การถูกนับ ฯลฯ) ซึ่งพิจารณาโดยใช้หลักวิชาและประสบการณ์ของกรรมการที่ผ่านการตรวจสอบรับรอง ความเชี่ยวชาญเป็นที่ยอมรับ การชกจัดเป็นยกมี 5 ยก ยกละ 3 นาที พัก 2 นาที (เดิมกำหนด 4 ถึง 6 ยก) มุ่งผลเพียงแค่ แพ้ ชนะ และการแสดงออกของศิลปะการต่อสู้ชั้นสูง ผู้ชกต้องแต่งกายตามกำหนด และมีการสวมมงคลคาดผ้าประเจียด และก่อนชกต้องมีการไหว้ครู

 อุปกรณ์ สำหรับนักมวยไทยที่สำคัญ

 1.เครื่องแต่งกาย ได้แก่ กางเกงขาสั้น กระจับ ผ้าพันมือ นวม แบ็ค แองเกิล มงคล ผ้าประเจียด เสื้อคลุม ฟันยาง
  2.อุปกรณ์ฝึกซ้อม ได้แก่ กระสอบทราย กระสอบนวม กระสอบยางรถยนต์ ล่อเป้าหมัด ล่อเป้าเตะ-เข่า พันชิ่งบอล ดัมแบล บาเบล กระบองสั้น พลองยาว เก้าอี้ซิทอัฟ เหล็กกำ เชือกกระโดด เชือกมะนิลา กระจกเงา ยางล้อรถยนต์ฝึกการทรงตัว หลักหัวเสา ราวไม้ รั้วต่ำ บาร์เดี่ยว บาร์คู่ เวทีฝึกซ้อม เสื่อ ไม้นวด เตาถ่านและลูกประคบฯลฯ

 3.อุปกรณ์อื่น ๆ ได้แก่ วาสลิน กระป๋องฉีดน้ำ (ป็อกเกิล) ผ้าเช็ดตัว ผ้าขนหนู รองเท้าวิ่ง ถังน้ำ กระติกน้ำแข็ง เก้าอี้ เครื่องยาสำคัญ อาทิ น้ำมันมวย ยาหม่อง ยาดำ ยาขม ขมิ้นชัน ไพล บอระเพ็ดหมากพลู ปูนแดง สารส้ม ฯลฯ
มวยไทยมิใช่จะมีเฉพาะความเข้มแข็งของนักสู้แต่มันมากด้วยจิตวิญญานของผู้ กตัญญู ผู้อ่อนโยน ผู้เป็นมิตร ผู้อดทน ผู้ให้อภัย และผู้ร่าเริงเบิกบาน บทหนึ่งของมวยไทยอาจดูกระด้าง อาจดูน่าเกรงขามแต่นั่นเพื่อตอบโต้แก่ผู้รุกราน บทหนึ่งของมวยไทยอาจดูอ่อนด้อยน่าย่ำยีแต่นั่นเป็นกลลวงสำหรับผู้ที่เย่อ หยิ่งจองหองเท่านั้น และทั้งหมดนั้นผู้ที่เป็นมวยซึ่งได้ผ่านสังเวียนการต่อสู้ทั้งที่มีเกียรติ และไร้เกียรติมาอย่างโชกโชนย่อมเข้าใจดีว่ามวยไทยที่เขาได้ใช้มันออกไปเพื่อ แสดงอะไร

   ศิลปะการต่อสู้แบบมวยไทย มีพัฒนาการควบคู่มากับวิถีชีวิตของคนไทย จึงมีลักษณะผสมผสานด้านการต่อสู้เพื่อใช้ป้องกันตัวและต่อต้านการรุกรานของ ชนเผ่าอื่น แล้วยังรวมเอาการแสดงศิลปะลีลาของการใช้อวัยวาวุธอันมีความหลากหลายพิสดาร น่าดูไว้ด้วยตามลักษณะนิสัยของคนไทยที่ชอบการแสดงออก ความสนุกสนานร่าเริงและเป็นมิตร ตลอดถึงความเป็นคนอ่อนน้อม กตัญญูรู้คุณคน ซึ่งถือเป็นหลักการของศิลปะการต่อสู้เฉพาะ ชนชาวไทย ที่มีรูปแบบที่แตกต่างจากชาติใดๆ ผู้ที่เรียนรู้ ฝึกฝนจนเข้าถึงและเข้าใจจึงจะสามารถคงเอกลักษณ์นี้ไว้ได้

นิทานอมตะคลาสสิคเรื่องเจ้าชายกบ


เจ้าชายกบ

เจ้าชายกบถือเป็นนิทานอมตะคลาสสิคอีกเรื่องหนึ่งที่แต่งขึ้น โดยจาค็อบ(Jacob Grimm)และวิลเฮล์ม(Wilheim Grimm)

สองพี่ น้องตระกูลกริมม์ที่แต่งนิทานดังติดคู่มาพร้อมกันกับนิทานเรื่อง

ซินเดอเรลล่า มีหลายคน ที่รู้จักเรื่องของเจ้าชายกบนี้เป็นอย่างดี ด้วยอาจเป็นเพราะเนื้อหาที่ชวนให้ใครที่อ่านแล้วเกิดความสงสาร เจ้าชายที่ถูกสาป ให้กลายเป็นกบต่างก็อยากเอาใจช่วย ด้วยเนื้อหาที่ทำให้คนอ่านสามารถยิ้มได้นี่เอง ที่อาจจะทำให้ นิทานเรื่อง นี้ไม่หายไปจากความทรงจำของคนอ่านและเด็ก ๆ ทั้งหลายทั่วโลกนั่นเอง.... 

      กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาพระองค์หนึ่งทรงปกครอง บ้านเมืองของพระองค์ ด้วยทศพิธราชธรรม นำความเจริญ ความสงบ สุขมาสู่ประชาชนของพระองค์โดยถ้วนหน้า พระองค์ทรงมีพระธิดา อยู่พระองค์หนึ่ง ซึ่งว่ากันว่าทรงมีความงามอันล้ำเลิศ ผู้ใดได้พบเห็น ต่างก็จะตะลึงกับพระพักตร์รูปไข่ หวานละมุน พระขนงเรียวสวย ดวง พระเนตรยาวรีดังกวางป่า พระนาสิกเชิดรั้น พระโอษฐ์ สีระเรื่อเรือนร่าง โปร่งระหง.... และด้วยการที่ทรงมีความสวยงามล้ำเลิศ อย่างนี้นี่เอง พระ ธิดาจึงทรงเป็นที่หมายปองของเหล่า บรรดาเจ้าชายและพระราชาตามหัวเมือง และแว่นแคว้นน้อยใหญ่ที่ได้ยินและได้ฟังคำล่ำลือ ดังนั้นในทุก ๆ วันจึง ได้มีเจ้าชายและ

พระราชาเสด็จเข้ามาเสนอตัวขอ พระธิดาอภิเสกสมรสไม่เว้น ในแต่ละวัน แต่พระธิดาคนงามผู้นี้ก็ไม่เคยเลยที่จะถูกตาต้องใจ หรือพอพระทัย ในพระราชาองค์ใดเป็นพิเศษเลยสักพระองค์เดียว ดังนั้นพระราชา ผู้เป็นพระบิดา จึงให้เป็นต้องหนักพระทัย กับการเลือกคู่ครองของพระธิดาองค์น้อยคนงามองค์ นี้ของ พระองค์เป็นอย่างมาก 

 แล้ววันเวลาก็ผ่านไป...อยู่มาในวันหนึ่ง...พระธิดาทรงได้รับจดหมายอันน่าฉงน ที่ชวนให้พระองค์พอพระทัยเป็นอย่างมาก ลงนามว่าส่งมาจากเจ้าชายที่อยู่ ต่างเมืองอันไกลโพ้น พร้อมกับกล่องของกำนัล ซึ่งในกล่องนั้น ได้มีลูกบอล ทองคำที่สวยงามมากอยู่ลูกหนึ่ง ในจดหมายมีเนื้อความที่จารึกไว้ทำนองฝากรัก กับพระธิดาว่า

" ข้าแต่พระธิดาผู้เป็นดวงใจของหม่อมฉัน เมื่อถึงเวลาบรรทม ของพระองค์แล้ว จงกอดลูกบอลทองคำ ลูกนี้เอาไว้ แล้วพระองค์จะได้เห็น หม่อมฉันในนิมิตฝันของพระองค์ เพื่อบอกขอ พระองค์อภิเสกสมรส...." จดหมายฉบับนั้นได้ลงนามในตอนท้ายว่า...

จากเจ้าชายที่อยู่ในแดนไกล... เมื่ออ่านจดหมายจบลง พระธิดาก็มองเพ่งพินิจพิจารณาลูกบอลทองคำ ลูกนั้น

อย่างไม่วางตาด้วยความพอใจเป็นเวลานานเลยทีเดียว 

 และในคืนวันนั้นเมื่อพระธิดาผู้เลอโฉมทรงบรรทม และกอดลูกบอล ทองคำลูกนั้นเอาไว้ แล้วหลับไหลลงไปเหมือนในทุก ๆคืนที่ผ่านมา... แต่ในค่ำคืนนี้พระองค์ได้นิมิตฝันว่าได้มีเจ้าชายผู้สง่า งามจนหาที่ติมิได้ เลยพระองค์หนึ่ง ออกมาปรากฏกายที่ตรงหน้า...แล้วบอกขอให้พระองค์ ยอมตกลงใจเลือกเจ้าชายให้เป็นคู่อภิเสกสมรส...ในนิมิตรนั้นพระธิดา ทรงยินดีและบอกตอบรับรักของเจ้าชายองค์นั้นอย่างเต็มใจ...แล้วพระองค์ ก็ทรงสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างกระทันหัน 

    "ทำไมถึงได้เป็นเจ้าชายที่ทรงมีความงดงาม และมีสเน่ห์ถูกใจฉัน ไปหมดอย่างนี้นะ " พระธิดาน้อยผู้ ที่ไม่เคยเลยที่จะทรงพอพระทัย หรือนึกรักใคร่ในชายใดมาก่อนเลยผู้นี้... บัดนี้และตอนนี้พระองค์ กำลังตกอยู่ในความรัก และก็กับเจ้าชายในความฝันผู้นั้นเข้าให้เสียแล้วสิ... และหลังจากคืนนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในทุก ๆ ค่ำ คืน พระธิดาจะทรงเฝ้ารอคอยว่า ทำไมมันถึงช้านัก และเมื่อไหร่ที่จะถึงเวลา บรรทมของพระองค์เสียที.... และแล้วในคืนวันหนึ่งเจ้าชายในความฝัน ผู้นั้นได้บอกเหมือนเป็นเชิงขอร้องกับพระธิดาเธอ.... 

  " พระธิดาสุดที่รักของหม่อมฉัน พรุ่งนี้ในตอนเช้า พระองค์จงนำ ลูกบอลทองคำลูกนี้ลงไปที่อุทยาน แล้วให้โยนมันเล่นไปรอบ ๆ สระน้ำอย่าได้หยุด " ดังนั้นเมื่อพระธิดาทรงตื่นจากบรรทมแล้ว พระองค์ก็ลงไปที่อุทยาน โดยถือลูกบอลทองคำไว้ในมือ แล้วเริ่มต้น โยนมันไปรอบ ๆ สระตามที่เจ้าชายได้ขอร้องไว้...แต่ขณะ ที่พระองค์ยังเดินวนไปไม่ทันจะครบรอบ พระธิดาเกิดเปลี่ยนใจหันมา โยนมันขึ้นไปบนอากาศ แล้วก็คอยรับเมื่อมันตกลงมา ต่อมาสักครู่ เมื่อโยนลูกบอลทองคำขึ้นไปอีกครั้ง ขณะที่พระองค์กำลังจะยื่นพระหัตถ์ ออกไปรับ.... 

   ในฉับพลันทันใดนั้นเอง....ก็ได้มีค้างคาวสีดำตัวใหญ่ตัวหนึ่ง บินร่อนถลาโฉบลงมา ที่เหนือพระเกศา แล้วมันก็กระพือปีกกางตบ ให้ลูกบอลทองคำกระดอนตกลงมาสู่เบื้องล่าง แล้วพลัดตกลงไปสู่สระน้ำ ในอุทยาน ค้างคาวผีเมื่อตบลูกบอลทองคำหล่นลงไปแล้ว มันก็พูดว่า

" แก๊กๆๆๆ..แค่นี้เองก็หมดห่วงไปได้อีกวาระหนึ่ง"

แล้วมันก็บินหายลับ ไปจากที่ตรงนั้น... ลูกบอลทองคำจมหายลงไปสู่ก้นสระโดยไม่มีทีท่าว่าจะ ลอยขึ้นมาเลยสักที พระธิดาทรงเริ่มกันแสงด้วยความเสียดายลูกบอลทองคำ อันเป็นที่รักอยู่ที่ตรงริมสระน้ำได้แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นเอง... 

     พระธิดาได้แต่มองชะเง้อลงไปในสระน้ำ และด้วยดูเหมือนว่ามัน คงจะลึกมาก เพราะพระองค์มองไม่เห็นก้นสระนั่นเอง จึงได้แต่คร่ำครวญ และร้องว่า

" โอ...ลูกบอลทองคำสุดที่รักของฉัน ขอเพียงฉันได้เธอคืนมา เท่านั้น แล้วฉันจะยินดีที่จะแลกมันด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์,อัญมณีเครื่องประดับ และทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีอยู่ " และในขณะนั้น ก็มีกบตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้น มาเหนือน้ำ มันก็ได้เอ่ยถามพระธิดาเธอว่า

" เกิดอะไรขึ้นกับพระองค์หรือพระเจ้าข้า ? " พระธิดามองหาต้นเสียง และเมื่อเห็นว่าเป็นกบเท่านั้น แต่ก็ทรง ตอบว่า " ลูกบอลทองคำของเราน่ะสิ หล่นหายไปในสระน้ำนี่ " พลางชี้มือไปที่สระ น้ำข้างหน้า 

      เจ้ากบเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มหวานที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ แล้วพูดเหมือน ปลอบใจว่า

" อย่ากังวลเลยพระเจ้าข้า หม่อมฉันจะนำลูกบอลทองคำลูก นั้นกลับคืนมาให้องค์หญิงเอง แต่ตรงนี้ก็มีข้อแม้อยู่ที่ว่า องค์หญิงจะต้อง รับหม่อมฉันเป็นคนรัก และต้องสัญญาว่าจะยอมให้หม่อมฉันได้ร่วมชีวิต กับพระองค์ ได้กินอาหารจากจานทองคำเล็ก ๆ ร่วมกัน และจะต้องนอนบนเตียง ร่วมกันกับพระองค์ แล้วหม่อมฉันก็จะยินดีที่จะลงไปงมเอาลูกบอลทองคำ ขึ้นมาให้... "องค์หญิงนิ่งฟังกบพูดอย่างนึกมั่นใส่ "ช่างเป็นกบที่คิดเหลวไหลเสียจริง " พระธิดาทรงครุ่นคิดอยู่ในใจ " แต่เขาเป็นกบนี่คงไม่สามารถที่จะออกไปจากสระน้ำนี่ ได้หรอก แต่ถึงกระนั้น เขาก็อาจที่จะช่วยเอาลูกบอลทองคำสุดที่รักของฉันขึ้นมาจาก

ก้นสระนี้ได้ ฉันจะแกล้งรับปากตามที่เขาขอดู " 

    ดังนั้นพระธิดาจึงบอกกับกบว่า

" หากเจ้าสามารถนำลูกบอลทองคำกลับ คืนมาให้กับฉันได้ ฉันก็จะทำตามในสิ่งที่เจ้าขอ " กบเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ยิ้ม อย่างพึงใจ ก่อนจะพูดต่อไปว่า

" แล้วก็อย่าทรงลืมสัญญานะพระเจ้าข้า เรื่อง ที่หม่อมฉันขอร่วมโต๊ะ เสวยกับพระองค์ และเรื่องขอนอนร่วมเตียง และ ขอไปทุกที่ที่พระองค์ไป พระเจ้าข้า "

" เราบอกแล้วไง ว่าเราให้สัญญา! " พระธิดาให้คำมั่น เมื่อสิ้นคำของพระองค์แล้ว เจ้ากบก็ดำลงไปในน้ำทันที เพียงครู่เดียวมันก็โผล่หัวขึ้นมาพร้อมกับลูกบอลทองคำลูกนั้น พระธิดาทรง รีบหยิบลูกบอลทองคำขึ้นมากอดไว้แน่นเหมือนกลัวว่ามันจะหายไปที่ไหนอีก จากนั้นพระองค์ก็ทรงรีบวิ่งหนีจากไป โดยไม่สนใจเสียงเรียกของเจ้ากบที่ดัง ตามหลังพระองค์มาติดๆว่า

" พระองค์หญิง รอคนรักของพระองค์ด้วย.... พระเจ้าข้า รอหม่อมฉันด้วย ! ! " แต่หากพระธิดาไม่ฟังเสียแล้ว ไม่แม้แต่ที่จะ หันมามองมันให้เสียสายตาของพระองค์เสียด้วยซ้ำ.... 

   วันต่อมา ในทันทีที่พระธิดาทรงนั่งลงเพื่อเสวยอาหารพลันก็มีเสียงดัง

" ตุบ-ตุบ-ตุบ " อย่างกับมีเสียงใคร กำลังเดินขึ้นมาที่บนบันใดหินอ่อนหน้าห้องเสวย แล้วต่อมา ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องเรียก....

 " พระธิดาคนงามโปรดฟังทางนี้หน่อย เปิดประตูคอยที่รักจักมาหา จำได้ไหมคำมั่นที่สัญญา ณ อุทยานริมสระน้ำใต้ร่มเงา "

มีหรือที่พระธิดาจะทรงจำเสียงเรียกนี้ไม่ได้ว่ามันเป็นเสียง ของใคร?... พระองค์ ทรงสะดุ้งและตกใจ จนพระพักตร์เสียทันที พระราชาผู้เป็นพระราชบิดาเมื่อ ทรงเห็นกิริยาอาการแปลก ๆ ของพระธิดาเช่นนั้น จึงเอ่ยถามขึ้นว่า

" มีอะไรหรือเปล่าลูกหญิงใครมาเคาะประตูเรียกลูกหรือ? " 

    พระธิดาทรงอึกอักเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบว่า " เอ่อ...กบเพคะ เสด็จพ่อ นั่นเสียงกบ " พระราชาทรงอุทาน " กบ ! " และทรงทำท่าประหลาดพระทัย " เพคะ " พระธิดาทรงตอบเสียงอ่อย พระราชาทรงรวบช้อน แล้วตรัสว่า " กบมาเคาะประตูเรียกลูกทำไม ? ไหนเรื่องราวมันเป็นอย่างไร ? เล่าให้พ่อ ฟังหน่อยสิ " พระธิดาจึงทรงเล่าเรื่องทั้งหมด ให้ทรงฟัง เมื่อเล่าจบพระราชาก็ ทรงตรัสว่า

" การถือคำสัตย์คำมั่นนั้น เป็นสิ่งที่ผู้เจริญควรยึดถือ เมื่อให้คำ สัญญากับผู้ใดก็ควรจะปฏิบัติตามคำนั้นนะลูก จงเปิดประตูให้เขาเข้ามาสิ "

ดังนั้น พระธิดาจึงจำใจออกคำสั่งให้มหาดเล็กประจำโต๊ะเสวยไปเปิดประตูรับให้กบเข้ามา เมื่อมหาดเล็กนำกบเข้ามาถึงที่โต๊ะเสวยแล้ว เจ้ากบก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า..... 

  " องค์หญิง กรุณาจับคนรักของพระองค์ขึ้นไปนั่งบนโต๊ะเสวยที่ข้าง ๆ พระองค์ ด้วยสิ ! พระเจ้าข้า " พระธิดา ทรงลังเล และทำท่าจะไม่ยอม แต่พระราชาตรัสสั่ง แกมบังคับให้พระองค์ทรงทำตามคำของกบ ส่วนเจ้ากบเมื่อได้ขึ้นมา ที่บนโต๊ะเสวย ได้แล้ว ก็บอกกับพระธิดาว่า

" ช่วยขยับจานของพระองค์ให้เข้ามาใกล้ ๆ หม่อมฉัน ด้วยสิ หม่อมฉันจะได้กินอาหารจากจานของพระองค์ " ซึ่งพระธิดาก็ทำตามอย่าง จำยอม ทั้ง ๆ ที่พระองค์นั้นทรงสุดแสน ที่จะรังเกียจรูปร่างอันน่าขยะแขยง และลิ้นที่ ยาว ๆ ของมันที่กำลังทำท่าแลบลิ้นออกมาเลียน้ำซุปที่อยู่ในจานเสวยของพระองค์ เป็นอย่างมาก และเมื่อมันกินอาหารจนอิ่มหนำสำราญแล้ว มันก็บอกกับ พระธิดาว่า ......... 

    " ช่วยนำหม่อมฉันขึ้นไปที่ห้องบรรทมของพระองค์ด้วย หม่อมฉันจะ นอนบนเตียงกับพระองค์คืนนี้.." เจ้าหญิงนึกรังเกียจเจ้ากบจนแทบจะ ทนไม่ไหว แต่ก็จำต้องฝืนพระทัยทำตาม เพราะด้วยกำลังอยู่ต่อหน้า พระบิดานั่นเอง พระองค์จำใจเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบเอาเจ้ากบตัวลื่น ที่แสนจะน่าเกียจตัวนั้นติดมือมาที่ห้องบรรทมด้วย... แต่แล้วเมื่อมาถึงที่ ห้องบรรทมอันเป็นที่ลับสายตาของทุกคนโดยเฉพาะพระบิดาแล้ว พระธิดาก็ทรงวางเจ้ากบลงกับพื้น อย่างไม่สนใจใยดี แล้วพระองค์ก็ เสด็จไปสรงน้ำ เจ้ากบมองการกระทำ ของพระธิดาอยู่นานพอสมควร ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า " พระธิดาเจ้าขา หม่อมฉันเองก็ต้องการพักผ่อนเช่น เดียวกันนะเจ้าข้า กรุณาพาหม่อมฉันขึ้นไปนอนบนแท่นบรรทมสิ มิเช่นนั้นแล้วหม่อมฉันจะฟ้องพระบิดาว่าพระองค์ ไม่ทำตามสัญญาที่ ให้ไว้.." พระธิดาก็เลยจำใจต้องยอม แล้วจับมันขึ้นมาวางไว้บนแท่น บรรทมด้วย เมื่อขึ้นมาบนแท่นบรรทมได้มันก็ทำท่านอนหงายอวดท้อง ที่ป่อง ๆของมัน แล้วหลับตานอนนิ่งเหมือนอย่างกับว่ามันนั้น ช่างเหน็ด เหนื่อย และง่วงนอนเสียเหลือเกินทีเดียว... แต่พอพระธิดาทำท่าจะล้มตัว ลงนอนที่ข้าง ๆ มันเท่านั้น มันก็ลืมตาอันใสแจ๋วของมันขึ้นมาในทันที... 

     แล้วทูลพระธิดาแกมบังคับว่า

" หม่อมฉันเป็นคนรักของพระองค์นี่นะ ถ้าอย่างนั้นพระองค์จะต้องจูบหม่อมฉันเสียก่อนที่จะบรรทมสิถึงจะถูก ไม่งั้นหม่อมฉันจะไปฟ้องพระบิดา สิ.. จูบฉันหน่อยนะที่รัก.." ถึงตอนนี้ เมื่อพระธิดาได้ฟังดังนั้นก็สุดที่จะทนทานต่อไปได้อีกแล้ว พระองค์ทรง ตวาดมันด้วย เสียงอันดังว่า

" ฉันจำได้ว่าฉันไม่ได้สัญญาขนาดว่าจะต้อง จูบเจ้าอีกด้วยนะ ! " และด้วยทรงพิโรธเป็นอย่างมาก กับการที่ต้องทำอะไร ฝืนพระทัยตัวเองมาตลอด พระธิดาจึงหยิบเจ้ากบขึ้นมา แล้วจ้องตามันเขม็ง ก่อนที่จะตรัส ด้วยเสียงดุ ๆ แบบโมโหว่า " ก็เชิญเจ้าไปฟ้องเลยสิ แล้วก็ ไปบอกเสด็จพ่อด้วยว่า เราน่ะทั้งรังเกียจทั้ง ขยะแขยงเจ้าจะแย่อยู่แล้ว...ได้ ยินไหม เจ้ากบบ้า ! ฮึ ! ..." พูดจบพระองค์ก็ทรงเขวี้ยงมันจนสุดแรงไปที่พื้น... แล้วจะเหลืออะไรเล่าทีนี้... ร่างของเจ้ากบเป็นอันต้องลอยละลิ่วปลิวไปกระแทก กับพื้นห้องอย่างเต็มแรง ผลเลยต้องลงไปหงายทองนอนแผ่สองสลึง สลบแน่นิ่ง อยู่ตรงนั้นในทันทีทันใด..... 

  พระธิดาเมื่อเห็นกบนอนสลบแน่นิ่งไม่ไหวติงเข้าดังนั้น ทรงตกพระทัย เป็นอย่างมาก และได้วิ่งเข้าไปที่ใกล้ ๆ ก่อนที่จะเอื้อม พระหัตถ์ไปแตะต้อง ตามร่างกายของมัน แล้วยิ่งพระองค์เห็นว่ามันเหมือนหยุดหายใจเข้าให้อย่างนั้น... พระองค์รู้สึกสำนึกผิดว่า...คงจะทำโหดร้ายกับมันมากเกินไปเสียแล้ว... " ฉันขอโทษ...ฉันไม่ได้ตั้งใจ...อย่า เพิ่งตายนะ...ได้โปรดลุกขึ้นมาเถิดเจ้ากบ น้อยของฉัน... " พูดจบน้ำตาอันใสสะอาดจากดวงพระเนตรของพระองค์ ก็เอ่อล้น แล้วร่วงพลูหลั่งไหลลงไปสู่เบื้องล่าง แล้วไปสัมผัสกับร่างของเจ้ากบ... และในทันทีทันใดนั้นเอง ก็เกิดมหัศจรรย์บรรดาล ให้มีกลุ่มควันสีเทาหนาทึบ ลอยขึ้นมาจากร่างของเจ้ากบ เมื่อพอควันเหล่านั้นหายไป ก็ปรากฏมีร่างของชาย หนุ่มซึ่งงามสง่ายิ่งนักแทนที่ พระธิดาทั้งตกพระทัย ทั้งแปลกพระทัยยืนงวยงง " ทะ ท่านคือเจ้าชายสุดที่รักที่อยู่ในลูกบอล ทองคำของฉันนี่ ! แล้วเจ้ากบตัวนั้น หายไปไหน ? " 

  เจ้าชายทรงยิ้มแล้วยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกมาจับ พระหัตถ์ของพระธิดา เอาขึ้นมากุมไว้ พร้อมกับกล่าวว่า

" หม่อมฉันคือเจ้าชายที่ถูกแม่มดสาปให้กลาย เป็นกบ และสิ่งที่จะถอนคำสาปได้ก็มีแต่หยาดน้ำตาอันบริสุทธิ์และมีเมตตาของ พระองค์เท่านั้นพระเจ้าข้า " แล้วเจ้าชายยังทูลต่ออีกว่า

" แต่คำสาปจะคลายลง อย่างสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อพระธิดาจะยอมอภิเษกสมรสกับหม่อมฉัน ...เป็นชายาของ หม่อมฉันได้ไหม ?..." พูดพลางเจ้าชายก็ก้มพระพักตร์ลงมาสบดวงเนตรของพระธิดา ซึ่งบัดนี้ พระพักตร์ของพระธิดานั้นแดงกล่ำเพราะเขินอายไปหมดเลยทีเดียว.... 

  ขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะลงเอยอย่างสวยงามอยู่ตรงนี้แล้วนั้น...พลัน ก็บังเกิด มีเสียงร้องของสัตว์ร้ายดังขึ้นมาแต่ไกล

" แก็ก ๆๆๆ " ประตูหน้า ต่างถูกเปิดให้อ้าออกมาเหมือนตั้งใจ...แล้วเงาดำมืดก็บินโผโฉม เข้ามาสู่ภายใน เงานั้นกางปีกบินล่อนถลาโฉบไปมา แล้วมันก็ บินไปเกาะห้อยหัวอยู่ที่โคมไฟ อันใหญ่ที่อยู่กลางห้องบรรทม... ใช่แล้วมันเป็นแม่มด ที่อำพลางร่างเป็น ค้างคาว ปีศาจตัวที่เคยแกล้งบินมาตบลูกบอลทองคำของพระธิดาให้ตกลงไปในสระน้ำ นั่นเอง...."เหอ ๆๆๆ นางพระธิดา...มาเป็นตัวมารขวางทางข้าอีกแล้ว เห็นทีจะอภัย ให้ไม่ได้เสียแล้ว วันนี้เตรียมตัวตายได้เลย...เหอ ๆๆๆ " มันพูดแบบอาฆาตแล้ว ยังแถมเขม็งตาจ้องมองมายังพระธิดาอย่างโกรธแค้น.... 

  ส่วนเจ้าชายเมื่อเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปยืนกำบังพระธิดาเอาไว้...

" อย่านะ อย่าคิด ทำอะไรพระธิดาของข้า...คราวนี้ ถึงเวลาที่จะต้องสั่งสอนเจ้าให้เข็ดหลาบ และราบคาบ เสียที " เจ้าชายก็ชักดาบของพระองค์ออกมาจากฝัก พร้อมกับยกชูขึ้นเพื่อเตรียมที่จะต่อสู้... เจ้าค้างคาวผีก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่มันหมุนตัวตีลังกาลงก่อนที่ จะบรรดาลให้มีกลุ่มควันลอย คลุ้งกระจายไปจนทั่วบริเวณ แล้วสักครู่ท่ามกลางกลุ่มควันที่คลุ้งกระจายนั้น ก็ปรากฏ ให้มีร่างของมังกรยักษ์หน้าตาดุร้ายตัวหนึ่งเดินย่างสามขุมออกมา มันเดินมาหยุดยืนจังก้า อยู่ต่อหน้าเจ้าชายและพระธิดา แล้วส่ายหัวไป-มา

" ก้าวว์ว์..เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็เตรียมตัวตาย เป็นอาหารของข้าได้แล้วทั้งสองคน... เหอ ๆๆๆๆ..ก้าวว์ว์.. " 

  เจ้าชายไม่รอช้า...ตรงเข้าเหวี่ยงดาบลงไปหวังจะฟันไปที่หางของมัน แต่เจ้ามังกร ด้วยความไวมันหมุนตัวกลับ แล้วแลบลิ้นที่ยาวเหมือนงูของมันออกมาพันไปที่ดาบ ของเจ้าชายอย่างเหนียวแน่น จนพระองค์ไม่สามารถที่จะขยับพระวรกายของพระองค์ ไปตรงไหนและทางไหนได้เลยสักน้อยนิด... " อ๊ะ.." เจ้าชายอุทานออกมาอย่างร้อนรน และตกพระทัย แต่พระองค์ก็พยายามที่จะฝืนขยับพระวรกายเพื่อ ให้หลุดลอดพ้นออกมา ให้จงได้....แต่ก็เป็นเหมือนกับว่ายิ่งพระองค์ฝืนและพยายามขยับ มันก็กลับยิ่งติดแน่น เข้าไปทุกที แน่นเข้าไปทุกทีเลยทีเดียวก็ว่าได้.... 

  เจ้ามังกรร้ายด้วยมันหมายที่จะกินทั้งเจ้าชายและพระธิดาให้ได้มันพยายาม อ้าปาก ให้กว้างที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ จนแลเห็นเคี้ยวที่แหลมคมอันน่าสะพึงกลัวของมัน เลยทีเดียว มันยังพยายามดึงตัวของมันให้เข้ามาใกล้ ๆ กับทั้งสองที่ละนิด...

ทีละนิด.... ประชิดเข้าไปเรื่อย ๆ....

ส่วนพระธิดากำลังโดนเบียดอยู่ที่ด้านหลังของเจ้าชาย ร่างของพระองค์ติดชิดอยู่ที่ข้างแท่นบรรทม และในทันทีนั้นพระธิดาทรงนึก ได้ว่าที่แท่นบรรทมของพระองค์นั้นมีลูกบอลทองคำวางอยู่ แล้วด้วยความไว พระธิดาเอื้อมพระหัตถ์ ของพระองค์ออกไปจับลูกบอลทองคำเอาไว้ แล้วรวบ รวมพลังที่พระองค์มีอยู่ทั้งหมดเขวี้ยง ลูกบอลทองคำเข้าไปอยู่ในปากของเจ้ามังกร ร้ายทันที....ลูกบอลทองคำเมื่อเข้าไปอยู่ ในปากของมังกรแล้วมันเหมือนค่อย ๆขยายตัว ขึ้นเหมือนลูกโป่งพองลมก็ไม่ปาน และในที่สุดมันก็พองโตขึ้นจนแน่นคับคอ ของเจ้ามังกรร้าย

" โอ๊ะ ก้าวว์ว์.. หายใจไม่ออก คุ...คุ.." 

  มังกรร้ายด้วยความทรมานและตกใจมันส่ายหัวไป-มา หมายสบัดให้ลูกบอลทองคำ กระเด็นออกไปจากปากของมัน และด้วยอาการนี้ก็เป็นผลทำให้ดาบที่มันได้ใช้ลิ้น พันเอาไว้นั้น เป็นอันกระเด็นออกไป และไปตกลงอยู่ที่พื้นใกล้ ๆ กับตัวเจ้าชาย พระองค์รีบคลานเข้าไปฉวยเอาดาบขึ้นมา แล้วทันทีนั้นก็กระโดดตรงเข้าไปใช้ดาบ แทงลงไปที่คอหอยของเจ้ามังกรร้ายอย่างเต็มแรง เสียงสนั่นดัง " จึ๊ก " เจ้ามังกรร้าย ร้องระงม

" ก้าวว์ว์.. ก้าวว์ว์.. " มันล้มตัวนอนลงยาวเหยียด และส่งเสียงร้องโหยหวน อยู่พักใหญ่ก่อนที่ร่างกายอันแสนที่จะน่าเกียจของมัน จะค่อย ๆ ละลายกลายเป็นขี้เถ้า และจางหายไปกับลมที่พัดโชย มาจากทางหน้าต่างของห้องบรรทมทั้งหมด จนไม่เหลือ อะไรทิ้งไว้ให้เห็นเป็นซากเลยสักน้อยนิด........... 

     " ต่อแต่นี้ไป...ก็ขอให้สิ้นเวรสิ้นกรรมที่มีต่อกันเสียที..." เจ้าชายพูดแล้ว ก็ตรงเข้าไปโอบกอด พระธิดาเอาไว้แล้วทูลว่า " พระธิดาของหม่อมฉัน ลูกบอลทองคำลูกนั้นเป็นของที่มีอำนาจ และพลังอันมหัศจรรย์ที่หม่อมฉัน ได้รับมาจากเทพธิดาที่อยู่ในสรวงสวรรค์ ต่อแต่นี้ ไปก็หมดทุกข์หมดโศรกกัน เสียที...แล้วตอนนี้..หม่อมฉัน... ยังไม่ได้รับคำตอบตกลง จากองค์หญิงเลยว่า จะยอมเป็นชายาของหม่อมฉันได้ไหม ? " พระธิดาทรงขวยอาย ก่อนที่ จะพยัก หน้ารับ แล้วทูลเจ้าชายว่า " เพคะ...หม่อมฉันเต็มใจและยินดีอย่างที่สุด..." แล้ว ทั้งสอง ก็ทรงให้คำมั่นสัญญา ต่อกันว่าจะร่วมใจกันใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ตราบนาน เท่านาน....ชั่วนิรันดร์ 

  และในวันรุ่งขึ้น เมื่อพระราชาทรงทราบเรื่องราวทั้งหมด ก็ทรงอนุญาต ให้ทั้งสองพระองค์อภิเสกสมรสกัน แล้ว ทั้งสองพระองค์ก็เดินทางไป ยังเมืองของเจ้าชายครองรักครองเรือนกันอย่างมีความสุข ...



คติสอนใจที่เหมาะกับนิทานเรื่องนี้...

ก็มีอยู่ที่ว่า...

คนเราควรคิดก่อนพูดและสัญญา เพราะหลังจากนั้นแล้ว เราจะตกเป็นทาสของมัน เพราะ ถ้าเราไม่ทำตามคำพูดและสัญญานั้นแล้ว เราก็จะกลายเป็นคนที่ตระบัดสัตย์อย่างไรทำนองนั้น....