ชนเผ่าไทยอีสาน
ชนเผ่าไทยอีสาน
ไทยอีสาน
เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ พูดภาษาไทย-ลาว
(ภาษาอีสาน เป็นกลุ่มผู้นำทางด้านวัฒนธรรมภาคอีสาน เช่น ฮีต คอง ตำนาน อักษรศาสตร์ จารีตประเพณี นิยมตั้งหมู่บ้านเป็นกลุ่ม บนที่ดอนเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า
"โนน" ยึดทำเลการทำนาเป็นสำคัญ อาศัยอยู่ทั่วไป
เรื่องถิ่นเดิมของชาติพันธุ์ลาวมีแนวคิด
2 อย่าง ซึ่งก็มีเหตุผลสนับสนุนพอ ๆ กันคือ
1.
ถิ่นเดิมของลาวอยู่ที่อีสานนี่เอง
ไม่ได้อพยพมาจากไหน ถ้าเหมาว่าคนบ้านเชียงคือลาว
ก็แสดงว่าลาวมาตั้งหลักแหล่งที่บ้านเชียงมากกว่า 5600 ปีมาแล้ว
เพราะอายุหม้อบ้านเชียงที่พิสูจน์โดยวิธีคาร์บอน 14
บอกว่าหม้อบ้านเชียงอายุเก่าแก่ถึง 5600 ปี
กว่าคนบ้านเชียงจะเริ่มตีหม้อใช้ในครัวเรือน
ก็ต้องสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยก่อนหน้านั้นแล้ว
แนวความคิดนี้ยังบอกอีกว่านอกจากลาวจะอยู่อีสานแล้ว ยังกระจายไปอยู่ที่อื่นอีก
เช่น เวียดนาม จีน ญี่ปุ่น ยุโรป แล้วข้ามไปอเมริกาเป็นพวกอินเดียนแดง
2.
ถิ่นเดิมของลาวอยู่ที่อีสานและมีมาจากที่อื่นด้วย
(อภิศักดิ์ โสมอินทร์. 2540 : 69) แนวคิดนี้เชื่อว่า
คนอีสานน่าจะมีอยู่แล้วในดินแดนที่เรียกว่า “อีสาน”
หรือส่วนหนึ่งของสุวรรณภูมิ
โดยประมาณ 10,000.- ปีที่ผ่านมา นักมานุษยวิทยา
และนักประวัติศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าได้มีการอพยพของพวกละว้า
หรือข่าลงมาอยู่ในแดนสุวรรณภูมินับเป็นคนพวกแรกที่เข้ามา
พอเข้ามาอยู่สุวรรณภูมิก็แบ่งเป็นอาณาจักรใหญ่ ๆ 3 อาณาจักร คือ อาณาจักรทวารวดี
ซึ่งมีนครปฐมเป็นราชธานี มีอาณาเขตถึงเมืองละโว้(ลพบุรี) อาณาจักรที่สองคือโยนก
เมืองหลวงได้แก่เมืองเงินยาง หรือเชียงแสน
มีเขตแดนขึ้นไปถึงเมืองชะเลียงและเมืองเขิน อาณาจักรที่สามคือโคตรบูร
ได้แก่บรรดาชาวข่าที่มาสร้างอาณาจักรในลุ่มน้ำโขง
มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองโคตรบูรณ์ ซึ่งอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงจากแนวคิดที่ 2
จะเห็นว่าในคำรวมที่นักมานุษยวิทยา และ นักประวัติศาสตร์เรียกว่า
“คนอีสาน” นั้นน่าจะมีคนหลายกลุ่มหลายชาติพันธุ์ปะปนกันอยู่และในหลายกลุ่มนั้นน่าจะมีกลุ่มชาติพันธุ์
“ลาว”อยู่ด้วย
ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานจากงานเขียนของนักวิชาการบางคนที่กล่าวว่า
หลังจากพวกละว้าหรือพวกข่าหมดอำนาจลง ดินแดนอีสานก็ถูกครอบครองโดยขอมและอ้ายลาว
ต่อมาขอมก็เสื่อมอำนาจลง ดินแดนส่วนนี้จึงถูกครอบครองโดยอ้ายลาวมาจนถึงปัจจุบัน
ถ้าเป็นอย่างนี้จริงจึงกล้าสรุปได้ว่า “อ้ายลาว” ก็คือกลุ่มชาติพันธุ์ลาวนั่นเอง อ้ายลาวเป็นสาขาหนึ่งของมองโกลเดิม
อยู่ทางตอนบนของแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำเหลือง
ก่อนที่จะอพยพเข้าครอบครองอีสานนั้นได้รวมตัวกันตั้งเมืองสำคัญขึ้น 4เมือง คือ
นครลุง นครเงี้ยว และนครปา ต่อมากลุ่มอ้ายลาวเกิดสู้รบกับจีน
สาเหตุเพราะจีนมาแย่งดินแดน อ้ายลาวสู้จีนไม่ได้จึงอพยพลงใต้ถอยร่นลงมาเรื่อย ๆ
จนกระทั่งมาตั้งอาณาจักรอยู่บริเวณยูนานในปัจจุบัน มีเมืองแถนเป็นศูนย์กลางสำคัญ
แต่ก็ยังถูกรุกรานแย่งชิงจากจีนไม่หยุดหย่อน
อ้ายลาวจึงอพยพลงมาตั้งอาณาจักรใหม่อีก คือ อาณาจักรหนองแส
มีขุนบรมวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของอ้ายลาวเป็นผู้ปกครองขุนบรมขึ้นครองราชย์ พ.ศ.1272
ได้รวบรวมผู้คนเป็นปึกแผ่น และส่งลูกหลานไปครองเมืองต่าง ๆ
ในบริเวณนั้นลูกหลานที่ส่งไปครองเมืองมี 7 คน คือ
1.
ขุนลอ
ครองเมืองชวา คือ หลวงพระบาง
2.
ขุนยีผาลาน
ครองเมืองหอแตหรือสิบสองพันนา
3.
ขุนสามจูสง
ครองเมืองปะกันหรือหัวพันทั้งห้าทั้งหก
4.
ขุนไขสง
ครองเมืองสุวรรณโดมคำ
5.
ขุนงัวอิน
ครองเมืองอโยธยา (สุโขทัย)
6.
ขุนลกกลม
ครองเมืองมอญ คือ หงสาวดี
7.
ขุนเจ็ดเจือง
ครองเมืองเชียงขวางหรือเมืองพวนพี่น้องอ้ายลาวทั้ง 7 ปกครองบ้านเมืองแบบเมืองพี่เมืองน้องมีอะไรก็ช่วยเหลือเจือจุนกันโดยยึดมั่นในคำสาบานที่คำสัตย์ปฏิญาณร่วมกันว่า
“ไผรบราแย่งแผ่นดินกันขอให้ฟ้าผ่ามันตาย”สำหรับ
กลุ่มอ้ายลาวนี้น่าจะเกี่ยวโยงเป็นกลุ่มเดียวกับคนชาติพันธุ์ลาวในอีสาน
น่าจะเป็นกลุ่มลาวเชียงและลาวเวียง คือ กลุ่มจากอาณาจักรล้านนา (ลาวเชียง)
และกลุ่มจากอาณาจักร ล้านช้าง (ลาวเวียง) ในพุทธศตวรรษที่ 17-18
เริ่มตั้งแต่สร้างเมืองชวาหรือเมืองหลวงพระบาง มีกษัตริย์ปกครองติดต่อกันมาถึง 22
องค์ กษัตริย์องค์หนึ่งคือพระเจ้าเงี้ยว ได้กำเนิดลูกชายคือพระเจ้าฟ้างุ้ม พระเจ้าฟ้างุ้ม
เกิดมามีฟันเต็มปาก เสนาอำมาตย์ในราชสำนักเห็นเป็นอาเพศจึงทูลให้พระบิดานำไป “ล่องโขง”
คือลอยแพไปตามลำน้ำโขง
มีพระเขมรรูปหนึ่งพบเข้าเกิดเมตตาเอาพระเจ้าฟ้างุ้มไปชุบเลี้ยงจนเติบใหญ่แล้วถวายตัวในราชสำนักเขมรพระเจ้าฟ้างุ้มได้รับการศึกษาอบรมอย่างองค์ชายเขมร
และทรงเป็นราชบุตรเขยของกษัตริย์เขมรด้วย เมื่อพระเจ้าฟ้าเงี้ยวสิ้นพระชนม์
เจ้าฟ้าคำเสียวผู้เป็นน้องชายขึ้นครองราชย์แทน
พระเจ้าฟ้างุ้มจึงยกทัพจากเขมรทวงราชสมบัติของบิดาคืน
สามารถโจมตีเมืองหลวงพระบางได้ เจ้าฟ้าคำเลียวเสียทีแก่หลานสู้ไม่ได้ น้อยใจจึงกินยาพิษตาย
เจ้าฟ้างุ้มจึงขึ้นครองเมืองหลวงพระบางเมื่อ พ.ศ. 1896 ทรงพระนามว่า “พระยาฟ้างุ้มแหล่งหล้าธรณี”
พระเจ้าฟ้างุ้มเป็นกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถมาก
เป็นนักรบผู้กล้าหาญชาญฉลาด
ในช่วงนั้นอาณาจักรสุโขทัยมีพระมหาธรรมราชาลิไทเป็นกษัตริย์ พระเจ้าฟ้างุ้มได้ขยายอำนาจแผ่ไปถึงญวน
ลงมาถึงส่วนหนึ่งของเขมรตอนล่างและเข้ามาสู่ดินแดนอีสานได้อพยพผู้คนจากเวียงจันทน์มาอยู่บริเวณเมืองหนองหาน
และหนองหานน้อยประมาณ 10,000 คน
พระเจ้าฟ้างุ้มครองราชย์และแผ่แสนยานุภาพเรื่อยมาจนถึงสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
(พระเจ้าอู่ทอง)
แห่งกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าฟ้างุ้มคิดแผ่แสนยานุภาพเข้าครอบครองกรุงศรีอยุธยา
ทำให้พระเจ้าอู่ทองต้องเจรจาหย่าศึกโดยอ้างความเป็นญาติร่วมวงศ์ขุนบรมเดียวกันว่า
“เฮาหากแมนอ้ายน้องกันมาแต่ขุนบรมพุ้น
หากเจ้าเป็นลูกหลานขุนบรมจริง เฮาอย่ามารบราฆ่าฟันกันเลย ดินแดนส่วนที่อยู่เลยดงสามเส้า
(ดงพญาไฟ ไปจดภูพระยายาฝอและแดนเมืองนครไทยให้เป็นของเจ้า
ส่วนที่อยู่เลยดงพญาไฟลงมาให้เป็นของข้อย แล้วจัดส่งลูกสาวไปจัดที่อยู่ที่นอนให้”
(ทองสืบ
ศุภมารค: อ้างใน สมเด็จพระสังฆราชลาวง2528:43)พระเจ้าอู่ทองยัง ได้ส่งช้างพลาย 51 เชือก
ช้างพัง 50 เชือก เงินสองหมื่น นอแรดแสนนอ กับเครื่องบรรณาการอื่น ๆ อีกอย่างละ
100 ให้แก่พระเจ้าฟ้างุ้ม
จากหลักฐานนี้อาณาจักรลานช้างจึงมีอำนาจครอบครองดินแดนอีสาน
ยกเว้นเมืองนครราชสีมาที่ยังคงเป็นอิสระอยู่เพราะในหนังสือ “ King of Laos
” ระบุว่าในปี
ค.ศ. 1385 อาณาเขตกรุงล้านช้างทางทิศตะวันตกติดต่อกับโคราช(นครราชสีมา)
ดินแดนอีสานส่วนใหญ่ตกอยู่ในอำนาจของพระเจ้าฟ้างุ้มเรื่อยมาจนถึงสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
(ลาวเขียนไชยเสฏฐามหาราช)
ขึ้นครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.2091-2114
ได้ย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมาอยู่เวียงจันทน์ พระองค์ได้ทำสัญญาพันธมิตรกับสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา
และทั้งสองได้สร้างพระธาตุศรีสองรัก ที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย
เป็นเขตแดนระหว่างสองอาณาจักร กษัตริย์องค์นี้ได้สร้างวัดองค์ดื้อ และศาสนสถานต่าง
ๆ ในเขตเมืองหนองคาย และบูรณะพระธาตุพนมด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชสนใจดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงมากกว่าสมัยก่อน
ๆ ต่อมาในปี พ.ศ. 2250กิดการแก่งแย่งอำนาจขึ้นในลาว ทำให้ลาวถูกแบ่งออกเป็น 2
อาณาจักร
มีหลวงพระบางและเวียงจันทน์เป็นศูนย์กลาง และในปี พ.ศ.
2256าเขตเวียงจันทน์ทางใต้ได้ถูกแบ่งแยกโดยเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร (เจ้าหน่อกษัตริย์)
มีเมืองนครจำปาศักดิ์เป็นเมืองหลวง ผู้ครองนครจำปาศักดิ์ได้ส่งจารย์แก้ว
(เจ้าแก้วมงคล) มาเป็นเจ้าเมืองท่งหรือเมืองทุ่ง ในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ
จังหวัดร้อยเอ็ด นับว่านครจำปาศักดิ์ได้ขยายอำนาจเข้ามาสู่ลุ่มแม่น้ำมูล – ชี ตอนกลาง
เวลาต่อมาลูกหลานเจ้าเมืองท่งหรือเมืองสุวรรณภูมิได้สร้างเมืองต่าง ๆ
ในดินแดนอีสานมากกว่า 15 เมือง (อภิศักดิ์ โสมอินทร์. 2540 : 71) เช่น
สุวรรณภูมิ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ มหาสารคาม ชนบทขอนแก่น ฯ ล
ฯต่อมาเกิดความไม่ลงรอยแตกแยกกัน ระหว่างกลุ่มขุนนางและกษัตริย์ลาวผู้คนได้อพยพหนีภัยการเมืองจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเข้าสู่อีสานเหนือ
กลุ่มสำคัญได้แก่
กลุ่มเจ้าผ้าขาว
โสมพะมิตร
กลุ่มนี้อพยพผู้คนมาตั้งอยู่ริ่มน้ำปาว
คือ บ้านแก่งส้มโฮง (สำโรง) เจ้าโสมพะมิตรได้เข้าเฝ้ารัชกาลที่ 1ที่กรุงเทพ ฯ
เพื่อถวายความจงรักภักดี และเนื่องจากมีกำลังคนถึง4,000 คน
รัลกาลที่ 1
จึงโปรดเกล้าให้ยกบ้านแก่งส้มโฮงเป็นเมืองกาฬสินธุ์ขึ้นตรงต่อกรุงเทพและเจ้าโสมพะมิตรได้รับบรรดาศักดิ์เป็น
“พระยาไชยสุนทร”
เจ้าเมืองกาฬสินธุ์
กลุ่มพระวอพระตา
พระวอพระตาเป็นเสนาบดีลาว
เกิดขัดใจกษัตริย์เวียงจันทน์ อพยพผู้คนข้ามโขงมาอยู่ที่หนองบัวลุ่มภูซึ่งเป็นเมืองอยู่ก่อนแล้ว
ตั้งชื่อเมืองว่า “นครเขื่อนขันฑ์กาบแก้วบัวบาน” แต่ได้ถูกกองทัพลาวตามตีจนพระตาตายที่รบ
ส่วนพระวอได้พาบริวารไพร่พลหนีลงไปตามลำแม่น้ำโขงจนถึงดอนมดแดง
และต่อมาลูกหลานของพระวอได้ขอตั้งเป็นเมืองอุบลราชธานี และเมืองยโสธร
กลุ่มท้าวแล
ท้าวแลและสมัครพรรคพวกได้อพยพหนีภัยการเมืองจากเวียงจันทน์
มาอยู่ในท้องที่เมืองนครราชสีมา
ต่อมาได้ย้ายไปทางตอนเหนือแล้วขอตั้งเป็นเมืองชัยภูมิ
ท้าวแลได้รับโปรดเกล้าให้เป็นเจ้าเมือง มีบรรดาศักดิ์ว่า “พระภักดีชุมพล”
ต่อมาได้เลื่อนเป็น
“พระยาภักดีชุมพล”การตั้งบ้านเมืองในดินแดนอีสานตั้งแต่พุทธศตวรรษ
24-25 หรือตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
มีเมืองต่าง ๆ เกิดขึ้นมากกว่า 100 เมือง มีแบบแผนการปกครองตามแบบหลวงพระบาง
เวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์คือมีตำแหน่งอาชญาสี่คือ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์
ราชบุตร ส่วนเมืองในเขตอีสานใต้คือนครราชสีมาและหัวเมืองเขมรป่าดง
ได้ใช้แบบแผนการปกครองแบบกรุงเทพ ฯ คือมีเจ้าเมือง ปลัดเมือง ยกกระบัตรเมือง
และผู้ช่วยราชการเมืองจากหลักฐานของลาวสามารถหาได้กลุ่มชาติพันธุ์ลาว ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอีสานมานานแล้ว
จึงสรุปได้ว่า คนในท้องถิ่นอีสาน หรือบริเวณนี้เป็นเชื้อสายลาว
ซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนาน
สืบทอดสายธารทางประวัติศาสตร์อย่างต่อเนื่องจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
และตลอดไปในอนาคตอีกนานเท่านาน
วัฒนธรรมการแต่งกาย
เผ่าไทยลาว(ไทยอีสาน)
นิยมผ้าฝ้ายมาแต่เดิม และพัฒนาผ้าฝ้ายเป็นการทอผ้ามัดหมี่ลวดลายต่าง ๆ
แหล่งผ้าฝ้ายที่มีมานานแล้วคือกลุ่มบ้านวาใหญ่ อำเภออากาศอำนวยจังหวัดสกลนคร
ซึ่งมีชื่อเสียงในการทอผ้าย้อมสีธรรมชาติจากเปลือกไม้ ใบไม้
แก่นไม้ผ้าซิ่นแขนกระบอกผ้ายย้อมคราม หรือมัดหมี่ เป็นที่นิยมของชนเผ่าไทยลาวกลุ่มที่แต่งกายแบบดั้งเดิมจริง
ๆ นิยมแต่งด้วยผ้าย้อมครามทั้งเสื้อและผ้าซิ่น แต่ไม่สวยเด่นเท่าผ้ามัดหมี่
เพราะมีสีดำมือทั้งตัว การพัฒนาการของการทอผ้ามัดหมี่
ทำให้ไทยลาวในปัจจุบันสามารถทอผ้าลายหมี่คั่นหลายสี เช่น สีเหลือง สีแดง และนิยมสีฉูดฉาด
นอกจากนี้ชาวเผ่าไทยลาวยังนิยมทอผ้าห่ม ผ้าจ่องลวดลายสวยงาม
ซึ่งสามารถปรับแต่งมาเป็นผ้าสไบโชว์ลวดลายของผ้าประกอบเสื้อผ้าได้เป็นอย่างดี
เครื่องประดับของชาวเผ่าไทยลาวนิยมเครื่องเงินเช่นเดียวกับกลุ่มอื่น
ผ้าซิ่น
ในขณะที่เอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ กลุ่มผู้ไทย กลุ่มย้อ กลุ่มกะเลิง
แต่เดิมนิยมผ้าซิ่นมีเชิงในตัวที่เรียกว่า ซิ่นตีนเต๊าะ
แต่เผ่านี้กลับนิยมซิ่นไม่มีเชิงทั้งที่เป็นผ้าเข็น(ทอ) และผ้ามัดหมี่ฝ้าย หรือไหมเสื้อ
แบบเสื้อของชนเผ่าไทยลาว แม้เสื้อจะเป็นเสื้อย้อมสีน้ำเงินแก่
แบบเสื้อคล้ายกับชนเผ่าอื่น ๆ แต่เนื่องจากเป็นชนเผ่าที่กระจายอยู่ในที่ต่าง ๆ
และรับเอาวัฒนธรรมจากภาคกลางได้รวดเร็วจึงทำให้เผ่าไทยลาวมีแบบเสื้อแตกต่างไปจากชนเผ่าอื่น
ๆ บ้าง เช่น เสื้อแขนกระบอก คือทอจากผ้าแพรตกแต่งให้มีจีบมีระบาย
สวมสร้อยที่เป็นรัตนชาติ เช่น มุก มากกว่าการสวมสร้อยเงิน
สอดชายเสื้อในซิ่นหมี่ไหม คาดด้วยเข็มขัดเงิน
จุดเด่นอีกประการหนึ่งของชนเผ่าไทยลาว คือการนิยมผ้าขะม้าทั้งชายและหญิง
ผ้าขะม้า(ขาวม้า) ที่งดงามคือผ้าใส่ปลาไหล มีสีเขียว-แดง-เหลือง
ตามแนวยาวไม่ใช่เป็นตาหมากรุก ซึ่งเป็นผ้าสมัยใหม่ ผ้าใส่ปลาไหลสามารถคัดแปลงเป็นผ้าคล้องคอ
ผ้าสไบของสตรีในการเสริมการแต่งกายให้งดงามขึ้น
นิทานพื้นบ้าน-ขูลูนางอั้ว
ขูลูนางอั้ว
ท้าวขูลู เป็นโอรสเจ้าเมืองกาสี ส่วนนางอั้วเคี่ยม เป็นธิดาเจ้าเมืองกายนคร ทั้งสองเมืองมีความสัมพันธ์อันดี เจ้าเมืองและพระมเหสีของทั้งสองเมืองต่างก็เป็นมิตรกัน
และเคยให้คำมั่นว่าถ้ามีโอรส ธิดาจะให้สมรสกัน
ท้าวขูลูและนางอั้วเคี่ยมเกิดปีเดียวกัน นางอั้วเคี่ยมมีความงดงามมาก
เล่าลือไปถึงเมืองขุนลางซึ่งเป็นขอมภูเขาก่ำ (เขมรป่าดงหรือชาวป่าสักขาลายสีดำ)
เป็นชนเผ่าที่ยังไม่เจริญ เมื่อท้าวขูลูเจริญวัยอยากมีคู่ครองจึงลามารดามาเที่ยวเมืองกายนครและได้นำเครื่องบรรณาการมาเยี่ยมเจ้าเมืองด้วย เพื่อท้าวขูลูได้พบนางอั้วเคี่ยมต่างก็มีจิตใจปฏิพัทธ์ต่อกัน ท้าวขูลูลากลับพระนครเพื่อส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอ
ขุนลางหัวหน้าเผ่าชนภูเขาได้ส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอนางอั้วเคี่ยม มารดาของนางได้รับปากเพราะนางไม่พอใจที่มารดาท้าวขูลูซึ่งเพื่อนกัน ตั้งแต่คราวที่นางตั้งครรภ์นางอั้วเคี่ยมและได้ไปเที่ยวอุทยานเมืองกาสี เห็นส้มเกลี้ยงในอุทยานนึกอยากกินตามประสาคนท้อง
แต่มารดาท้าวขูลูไม่ยินดี นางนึกน้อยใจและโกรธจึงตัดขาดจากความเป็นเพื่อนกัน นางอั้วเคี่ยมเมื่อรู้ข่าวก็เสียใจและไม่ยอมรับ
โดยอ้างว่าขุนลางเป็นคนนอกศาสนา ไม่นับถือพระธรรม แต่มารดาได้ส่งแม่สื่อไปยอมรับคำสู่ขอนั้นและรับปากว่าจะปลอบประโลมนางอั้วเคี่ยมในภายหลัง
ฝ่ายท้าวขูลูได้บอกบิดามารดามาสู่ขอนางอั้วเคี่ยม แต่มารดานางอั้วเคี่ยมไม่ยินยอมโดยให้เหตุผลว่าได้รับหมั้นขุนลางไว้แล้ว ท้าวขูลูจึงขอให้บิดาส่งแม่สื่อมาขอพบนางอั้วเคี่ยมอีกครั้งและได้อ้างคำพูดที่เคยตกลงกันไว้สมัยก่อน คราวนี้มารดาท้าวขูลูเดินทางมาด้วยและทวงคำมั่นนั้น แต่มารดานางอั้วเคี่ยมกล่าวถึงความโกรธในครานั้นและขอคืนคำมั่นทั้งหมด ในที่สุดจึงตกลงกันว่าจะเสี่ยงทายสายแนนหรือรกห่อหุ้มทารก ซึ่งเชื่อกันว่าทุกคนจะมีสายรกพัวพันกันอยู่บนเมืองแถนก่อนมาเกิดและต้องเป็นคู่กันตามสายแนนนั้น ถ้าแต่งงานผิดสายแนนจะต้องหย่าร้างกัน และให้คนทรงทำพิธีเซ่นพระยาแถนและนำของไปถวายพระยาแถนเพื่อขอดูสายแนนของทั้งสอง พบว่าสายของทั้งสองพันกันอยู่ แต่ตอนปลายยอดด้วนและปลายแยกออกจากกัน ซึ่งแสดงว่าเป็นเนื้อคู่แต่อยู่กันไม่ยืดต้องพลักพรากในที่สุด นอกจากนี้ยังพบว่าสายแนนของท้าวขูลูมีแท่นทองอยู่ด้วยแสดงว่าเป็นพระโพธิสัตว์ เมื่อแม่สูนหรือนางทรงหรือนางเทียม กลับมาได้แจ้งความดังนั้น โดยบอกว่าทั้งสองต้องตายจากกัน ทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกันได้บางส่วน คือ มารดาท้าวขูลูจะส่งขันหมากมาสู่ขออีกครั้ง แต่มารดาของนางอั้วเคี่ยมกังวลที่ได้รับหมั้นขุนลางไปแล้ว ในที่สุดฝ่ายเมืองกาสีจึงลากลับ
ฝ่ายมารดานางอั้วเคี่ยมทราบว่าธิดาของตนได้ลักลอบพบกับท้าวขูลูที่อุทยาน นางโกรธมากจึงด่านางอั้วเคี่ยมว่าไปเล่นชู้ ไม่รักนวลสงวนตัว
เสียพงศาเผ่าพระยา นางอั้วเคี่ยมเสียใจมากจึงผูกคอตายที่อุทยาน ความทราบถึงเจ้าเมืองและมารดาต่างก็เสียใจ ส่วนขุนลางก็ถูกธรณีสูบในคราวเดียวกัน
ท้าวขูลูทราบข่าวการตายเสียใจมาก คลุ้มคลั่งประจวบกับผีตายโหงเข้าสิงจึงคว้ามีดมาแทงคอตนเองตายในที่สุด
ย้อนไปในอดีตชาติ เนื่องจากท้าวขูลูและนางอั้วเคี่ยมได้ก่อเวรไว้จึงต้องมาใช้เวรกรรมในชาตินี้คือไม่สมหวังในความรัก เพราะเมื่อชาติก่อนท้าวขูลูเป็นเจ้าเมืองเบ็งชอน (บัญชร) นางอั้วเคี่ยมเกิดเป็นมเหสีชื่อว่านางดอกซ้อน
มีผัวเมียคู่หนึ่งไม่ยำเกรงนางดอกซ้อน นางโกรธมากจึงฟ้องเจ้าเมืองให้ลงโทษคนคู่นี้
เจ้าเมืองสั่งไม่ให้เป็นผัวเมียกัน หากพี่น้องคนใดชักนำให้มาอยู่กินเป็นผัวเมียอีกจะถูกประหาร
ทำให้ทั้งคู่เสียใจมาก เมียผูกคอตาย
ผัวใช้มีแทงคอตนเองตาย เวรกรรมจึงตามสนองท้าวขูลูและนางอั้วเคี่ยมในชาตินี้ ท้าวขูลูและนางอั้วเคี่ยมได้ไปเกิดบนสวรรค์ทั้งสองคนและได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง ส่วนเมืองกาสีและกายนครนั้นได้จัดพิธีศพโดยเผาคนทั้งสองพร้อมกัน สร้างพระธาตุบรรจุอัฐิทั้งสองไว้ที่เดียวกัน
และกลับมาสมัครสามัคคีดังเดิม ท้าวขูลูและนางอั้วเคี่ยมได้แสดงอภินิหารให้ผู้คนชาวเมืองได้เห็น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น